วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ยุงชอบกัดคนประเภทไหน

       เคยสังเกตไหมว่า ทำไมคนบางคนยุงถึงชอบกัดเอ๊า…กัดเอา ในขณะที่บางคนยุงกัดน้อยกว่า พบว่าปัจจุบันในโลกนี้มียุงมากกว่า 3,500 สายพันธุ์ และยุงก็มีแนวโน้มที่จะ

  • ชอบกัดคนตัวโตมากกว่าตัวเล็ก เพราะคนตัวโตมีพื้นที่ผิวหนังมากกว่า
  • ชอบกัดคนท้องมากกว่าคนไม่ท้อง เพราะคนท้องมีพื้นที่ผิวหนังมากขึ้น ตัวอุ่นหรือร้อนขึ้น และเหงื่อออกง่ายขึ้น
  • ชอบกัดคนที่มีกลิ่นตัว กลิ่นเหงื่อ ยุงชอบกลิ่นตัวของคนบางคนและเลือกที่จะกัดก่อนคนอื่น
  • ชอบกัดคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้อุณหภูมิที่ผิวหนังเพิ่มขึ้นและกลิ่นตัวแรงขึ้น
    ยุงชอบกัดคนแบบไหน?

    ยุงชอบกัดคนแบบไหน?

       อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเหตุผลเหล่านี้จะใช้ได้กับทุกคน เพราะบางครั้งยุงก็เลือกกัดบางคนโดยหาสาเหตุไม่ได้เช่นกัน

อะโวคาโดยิ่งกิน ยิ่งสุขภาพดี

ใครที่ชอบกินแซนด์วิชในคาเฟ่ฮิปๆ หรือกินซูซิในร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น น่าจะเห็นผลไม้หั่นเป็นชิ้นสีเขียวอมเหลือง เนื้อนิ่ม ครีมมัน รสจืดๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสม ไม่มีรสแต่พอเคี้ยวรวมกับขนมปังหรือข้าวแล้วจะได้รสมันๆ ที่ทำให้อร่อยขึ้น รสชาติเหล่านี้นี่แหละเป็นลักษณะเด่นของอะโวคาโด ผลไม้พื้นเมืองของเม็กซิโก

อะโวคาโด avocado

ชาวเม็กซิกันมักใช้เนื้ออะโวคาโดปรุงอาหารแทนเนย และบ้านเราบางคนก็เรียกว่า “ลูกเนย” เนื้อครีมมันสีเขียวอมเหลืองของอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอีที่มีอยู่มาก วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินซี และยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและโฟเลต วิตามินอีและวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้ได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งบางชนิดได้ ส่วนโพแทสเซียมจะช่วยควบคุมความดันโลหิตทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติและรักษาสุขภาพของระบบประสาท ส่วนวิตามินบี 6 ช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ

กรดไขมันในอะโวคาโดเป็นไขมันชนิดเดียวกับน้ำมันมะกอก คือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวแบบตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ และอาจช่วยลดไขมันร้าย (LDL) ส่วนคนที่ควบคุมน้ำหนักต้องระวังอย่ากินมาก เพราะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง อะโวคาโดเพียงครึ่งผลให้พลังงานถึง 190 – 238 กิโลแคลอรี และยังจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีโปรตีนมากที่สุดด้วย

ไขมันช่วยเสริมความงาม

เนื้ออะโวคาโดมีไขมันชนิดดีที่เหมือนกับน้ำมันมะกอก ไขมันนี้ยังเปี่ยมไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ และยังช่วยให้ผมดำมันเป็นเงา ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกต่างก็ใช้อะโวคาโดบำรุงเส้นผมและผิวพรรณมานานนับพันปีแล้ว โดยเฉพาะใครที่มีผิวแห้ง ให้นำอะโวคาโดมาผสมกับกล้วยหอมสุกหรือไข่แดงและน้ำผึ้ง ในอัตราส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาทีจึงล้างออก ผิวคุณจะชุ่มชื่นขึ้น

อะโวคาโด avocado

เพราะว่าไขมันในอะโวคาโดที่มีมากนี่เอง จึงมีการสกัดเป็นน้ำมันอะโวคาโดเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง และยังนำมาทำสบู่ ยาสระผม ครีมทางผิว เพราะจะดูดซึมได้ง่าย น้ำมันชนิดนี้มีสีเขียวเข้ม ใส เนื้อหนักหนืดและมีกลิ่นหอมของอะโวคาโดชัดเจน

เลือกกินอย่างไรให้อร่อย

อะโวคาโดเป็นผลไม้ยืนต้นที่ต้นสูงมาก ความสูงประมาณ 18 เมตร และมีต้นกำเนิดที่เม็กซิโก ว่ากันว่าชาวสเปนรู้จักมานานกว่า 500 ปี แล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเพราะเป็นผลไม้รสจืด ผู้คนโดยเฉพาะคนอเมริกันเพิ่งเริ่มหันมาสนใจกินอะโวคาโดเมื่อศตวรรษที่ 20 นี่เอง ปัจจุบันปลูกได้ทั้งที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแม้แต่ในบ้านเรา โดยแรกเริ่มเดิมทีมิชชันนารีนำมาปลูกที่จังหวัดน่าน ต่อมมาก็แพร่หลายมากขึ้น จนเมื่อเป็นผลไม้ที่โครงการหลวงสนับสนุนและปลูกได้ทั่วไปในเชียงใหม่และเชียงราย บ้านเราจึงเริ่มนิยมกินกันมากขึ้น

ผลอะโวคาโดมีทั้งทรงกลม ทรงรีก้นป้านเหมือนลูกแพร์ บางพันธุ์ลูกเล็กเหมือนไข่ไก่บางพันธุ์ลูกใหญ่ยักษ์หนักเป็นกิโล โดยทั่วไปจะเปลือกหนา สีเขียว ผิวขรุขระหรือเรียบ บางพันธุ์มีสีเขียวแก่ สีแดงเลือดหมู สีเหลือง หรือแม้แต่สีดำ อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ต้องกินเมื่อสุกแล้วเท่านั้น ถ้าดิบจะมีรสฝาดและมีพิษ ที่น่าแปลกคือ เป็นผลไม้ที่ไม่สุกที่ต้น ต้องตัดมาแล้วเก็บไว้จึงจะสุก และต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง เมื่อสุกแล้วจึงเก็บไว้ในตู้เย็น

ตอนที่เก็บมาจากต้น เปลือกจะมีสีเขียวเข้ม พอเริ่มสุกจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ถ้าสุกมากก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และเมื่อบีบเบาๆ จะรู้สึกว่าเนื้อนิ่ม วิธีผ่าต้องใช้มีดผ่ากลางลูกให้รอบจนสามารถใช้มือแยกได้ เม็ดอะโวคาโดจะใหญ่มาก ถ้าสุกกำลังพอดี เนื้อจะเป็นสีเขียวอมเหลือง นุ่มมันน่ารับประทาน แต่ถ้าสุกเกินไป เนื้อจะเละและเป็นจุดสีน้ำตาล เพราะฉะนั้นควรกินตอนที่สุกกำลังพอดีจึงจะอร่อย และเมื่อปอกไว้สักพัก เนื้อก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดูไม่น่ากิน เคล็ดลับที่จะช่วยได้คือ เมื่อหั่นเนื้อใส่ชามแล้วให้วางเม็ดไว้ใต้เนื้อก็จะช่วยให้ยังเขียวอยู่ ซึ่งค่อนข้างแปลกแต่จริง

คนที่กินอะโวคาโดมากที่สุดคือพวกเม็กซิกัน โดยนำมาทำอาหารที่เรียกว่า ซัลซา วิธีทำคือนำเนื้ออะโวคาโดสุกๆ มาบี้ให้ละเอียด ใส่หอมหัวใหญ่สับ น้ำมะนาว พริก แล้วคลุกให้เข้ากัน แล้วกินกับนาโช (แผ่นแป้งของเม็กซิกันซึ่งคล้ายกับข้าวเกรียบบ้านเรา) เป็นของกินเล่น หรือใส่ในอาหารได้ทุกชนิด เช่น ใส่ไส้ในแผ่นแป้งทาโกรวมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น เนื้อบด ถั่วแดงบดและชีส เป็นต้น

ในฟิลิปปินส์ บราซิล อินโดนีเซีย เวียดนามและอินเดียใต้ นิยมกินอะโวคาโดกับนมปั่นหรือไอศกรีม โดยการเติมน้ำตาล นมหรือน้ำ บางครั้งราดด้วยช็อกโกแลต แต่ด้วยเนื้อที่มีความมัน รสจืด และยังมีวิตามินมากมาย คนอเมริกันและออสเตรเลียจึงนิยมนำมาใส่แซนด์วิชกินกับผักและเนื้อสัตว์ เพราะจะช่วยให้เคี้ยวแล้วไม่แห้งจนเกินไป ทำสลัดหรือคานาเปเพียงหั่นเป็นชิ้นบางๆ กินกับกุ้งลวก และน้ำสลัดเทาส์ซันไอส์แลนด์ ซึ่งจะเข้ากันมาก หรือแม้แต่หั่นใส่รวมไปในสลัดแบบใดก็ได้ที่คุณชอบ แต่น้ำสลัดที่เข้ากันมักจะเป็นน้ำสลัดน้ำข้นที่มีส่วนผสมของครีมหรือชีส

ปัจจุบันอะโวคาโดถูกนำมาดัดแปลงสร้างสรรค์ต่างๆ เป็นอาหารฟิวชั่น โดยเฉพาะใส่ในซูซิข้าวญี่ปุ่นรวมกับกุ้งลวก ปลาไหล คลุกกับไข่กุ้ง เป็นต้น ซึ่งนิยมกันมากในอเมริกา ญี่ปุ่นและบ้านเรา

สำหรับบางคนที่นิยมรสธรรมชาติ ยืนยันว่าแค่ผ่าแล้วตักกินก้อร่อยแล้ว (แต่ต้องสุกพอดี) หรือแม้แต่วางบนขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้าแค่นี้ก็อร่อยและมีวิตามินเปี่ยมล้น

 แนะนำเมนูอร่อย แซนด์วิชอะโวคาโด

ส่วนผสม ขนมปังแซนด์วิชหั้นหนา 2 แผ่น อะโวคาโดหั่นเป็นชิ้น 1/2 ผล ผักสลัดใบเขียวตามชอบ มะเขือเทศหั่นบาง กุ้งลวกหรือแฮมหั่นบาง น้ำสลัดเทาส์ชันไอส์แลนด์หรือน้ำสลัดครีมชนิดอื่นๆ ที่คุณชอบavocado sandwich

วิธีทำ ปิ้งขนมปังแล้วทาเนยให้ทั่ว วางผัก เนื้อสัตว์ และอะโวคาโดที่หั่นไว้ ราดด้วยน้ำสลัด รับประทานได้ทันที


วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทำไมข้างพีระมิดต้องมีสฟิงซ์?

สฟิงซ์

ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่เมืองกีซา ใกล้ๆกรุงไคโร ก็คงต้องตะลึงกับพีระมิด 3 องค์ที่ตระหง่านอยู่บนทะเลทรายนอกกรุงไคโร พีระมิดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของฟาโรห์แห่งอียิปต์ บริเวณใกล้เคียงจะมีรูปสลักของสฟิงซ์อยู่ใกล้ๆ กับพีระมิดและความลึกลับของสฟิงซ์นี้ก็เป็นสิ่งที่สร้างความฉงนสนเท่ห์ แก่นักโบราณคดีมานานกว่า 5,000 ปี

พีระมิดสร้างขึ้นเพื่อเป็น สุสานของฟาโรห์ แล้วรูปสลักสฟิงซ์ล่ะมีไว้เพื่ออะไร?

สฟิงซ์คือ รูปสลักจากภูเขาหินที่มีหัวและหน้าอกเป็นผู้ชายและมีลำตัวเป็นสิงโต เชื่อกันว่าเป็นสิ่งซึ่งจะป้องกันวิญญาณและความชั่วร้ายที่อยู่รอบๆพีระมิดได้ สฟิงซ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ สฟิงซ์ในเมืองกิซา ซึ่งมีขนาดความยาว 70 เมตร และสูง 20 เมตร

เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเมื่อ 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ใบหน้าเป็นพระพักตร์จำลองของกษัตริย์เชฟเรน (Chephren) ในราชวงศ์อียิปต์ที่ 4 นอกจากสฟิซ์ใหญ่ในเมืองกิซาแล้ว ยังมีสฟิงซ์อีกมากมาย ในประเทศอียิปต์ที่เป็นรูปหน้าของกษัตริย์องค์ต่างๆ ของอียิปต์ เพราะชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่ากษัตริย์เป็นทายาของเทพเจ้า ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ เมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์ก็ต้องการกลับไปเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อีกครั้ง และเชื่อว่าจะกลับไปมีพลังอำนาจเช่นสิงโต ดังนั้นรูปสลักจึงมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งสิงโต

มีสฟิงซ์อยู่แห่งหนึ่งที่มีรูปหน้าเป็นผู้หญิง ซึ่งสร้างขึ้นให้กับราชินีฮัตเชปซุตที่เคยครองบัลลังก์และปกครองอียิปต์ แต่รูปสลักนั้นสลักให้มีเคราด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งเยี่ยงชายของพระนาง

เทศกาลชมซากุระ


ซากุระ เป็นดอกไม้สุดโปรดของชาวญี่ปุ่นมีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ เกาะไต้หวันเกาะโอกินาวาญี่ปุ่น และยังพบซากุระในประเทศอื่นๆด้วย เช่น ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ จีน ตุรกี เยอรมัน แคนาดา และสหรัฐ

ซากุระ ญี่ปุ่น

ต้นซากุระเป็นพืชที่มีมากกว่า 300 สายพันธุ์แตกต่างกันที่ลัษษณะรูปร่าง สี และช่วงเวลาในการผลิดอก สายพันธุ์ทั่วไปเรียกว่า “โซเมอิโยชิโนะ” พบมากที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการชมดอกซากุระกันเป็นวัฒนธรรมเลยทีเดียว และวัฒนธรรมการชมดอกซากุระจะเกิดขึ้นปีละครั้ง โดยกรมอุตุนิยมวิทยาจะพยากรณ์ช่วงเวลาที่ดอกซากุระบานให้ประชาชนทราบล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนวางแผนได้ว่าจะไปชมดอกซากุระในช่วงเวลาใดและที่ไหนชมดอกซากุระ

โดยปกติซากุระจะบานในเดือนมกราคม เริ่มจากหมู่เกาะโอกินาวาก่อนเพราะอุณหภูมิจะอบอุ่นกว่าที่อื่น จากนั้นจะบานเรื่อยมาที่โอซากา เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และฮอกไกโดเป็นที่สุดท้ายในเดือนพฤษภาคม  ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ชาวญี่ปุ่นจะนำเสื่อมาปูใต้ต้นซากุระตามสถานที่ต่างๆ และนำอาหารมารับประทานรวมกันและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน เป็นวัฒนธรรมการชมซากุระที่เรียกว่า “ฮานามิ” และอยู่คู่ชาวญี่ปุ่นมา 500 ปีแล้ว เทศกาลชมดอกซากุระ

แต่อย่างไรก็ตามมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่าชาวญี่ปุ่นชมชอบและนิยมปลูกซากุระไว้ชื่นชมาตั้งแต่เมื่อ 1,300 ปีมาแล้ว ก่อนท่จะพัฒนามาเป็นวัฒนธรรมการชมดอกซากุระในเวลาต่อมา