วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

6 สตรีทรงอิทธิพลของโลก

1.อินทิรา คานธี - สตรีเหล็กแห่งอินเดีย 

นางอินทิรา คานธี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอินเดียที่ดำรงตำแหน่งถึง 3 วาระติดต่อกัน และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประเทศอินเดีย เป็นบุตรสาวของนายชวาหระลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย นางอินทิรามีบุตรชายสองคน คือ ราชีพ คานธีและสัญชัย คานธี โดยบุตรทั้งสองต่างดำเนินกิจกรรมทางการเมืองสืบต่อจากมารดา

อินทิราปกครองอินเดียได้นานถึง 16 ปี และแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2527 หลังจากถูกองครักษ์ของเธอเองลอบสังหาร สาเหตุเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูกับชาวซิกข์ ซึ่งเรียกได้ว่าการเสียชีวิตของนางอินทิรา คานธีเป็นข่าวสะเทือนไปทั่วโลก 

ปัจจุบันสำหรับชาวอินเดียส่วนใหญ่ นางอินทิรายังคงเป็นบุคคลสำคัญที่มีแนวคิดก้าวหน้าและมีอุดมการณ์ ขณะที่บ้านพักของเธอในกรุงเดลี ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นอนุสรณ์สถานที่สามารถเรียกผู้เข้าชมได้มากถึงวันละ 1 หมื่นคน โดยภายในบ้านพัก ห้องแต่ละห้องก็จะเต็มไปด้วยภาพถ่าย และรางวัลมากมาย รวมทั้งผ้าส่าหรีเปื้อนเลือดที่เธอใช้สวมใส่ในวันที่ถูกยิงเสียชีวิตด้วย

2.ออง ซาน ซูจี - สตรีผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแห่งพม่า

อองซาน ซูจี ผู้เป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่า เป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มต่อต้านผู้นำทหารที่ถือครองอำนาจในพม่า ชีวิตทั้งชีวิตของเธออุทิศให้กับการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศพม่าของเธอ หลังจากชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1990 และได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพในปีถัดมา เธอถูกกักขังอยู่แต่ในบ้านก่อนหน้าการเลือกตั้ง เธอถูกคุมตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลาเกือบ 15 จาก 21 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 กระทั่งการปล่อยตัวเธอครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 แต่เธอก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจที่จะต่อสู้

นอกจากเธอจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพใน พ.ศ. 2534 ใน พ.ศ. 2550 ทางรัฐบาลแคนาดายังประกาศให้เธอเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าบุคคลที่เคยได้รับเกียรตินี้

3.โอปราห์ วินฟรีย์ - สตรีผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการสื่อที่สุดคนหนึ่งของโลก 

เมื่อเอ่ยชื่อ โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) คงไม่มีใครไม่รู้จัก เธอมีมีชื่อจริงว่า โอปราห์ เกล วินฟรีย์ (Oprah Gail Winfrey) เป็นพิธีกรชื่อดังประเภททอล์คโชว์ รายการ The Oprah Winfrey Show ทอล์คโชว์ที่มีเรทติ้งการชมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์รายการโทรทัศน์ และยังเป็นผู้หญิงชาวแอฟริกัน อเมริกันที่รวยที่สุดในศตวรรษที่ 20

เป็นผู้หญิงที่มีอาชีพทางด้านสื่อมานานเกือบ 30 ปี และยังคงเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก เธอได้รับการจัดอันดับให้เป็นคนผิวดำที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นหญิงผิวดำที่ใจบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา เธอไม่เพียงเป็นนักจัดรายการ เจ้าแม่วงการสื่อเท่านั้น เธอเป็นนักแสดง ผู้อำนวยการสร้าง โฆษกเป็นเจ้าของหนังสือนิตยสาสน์อีกหลายเล่มด้วยกัน เป็นนักจัดรายการวิทยุ เธอเป็นนักบุญผู้หาทุนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้อยู่เสมอ และนอกจากนี้เธอก็ยังได้รับการลงคะแนนเสียงเป็นผู้หญิงคนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก

4.เลดี้ กาก้า - สตรีผู้โดดเด่น ปลุกความมั่นใจให้กับคนทั้งโลก 

'กาก้า' มีภาพลักษณ์ต่อสังคมที่ทำให้เธอดูโดดเด่นไปจากศิลปินอื่นโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งนักวิจารณ์ด้านแฟชั่นบางคนอย่างยกให้กาก้าเป็นเจ้าแม่แห่งวงการแฟชั่น และให้การแต่งตัวของเธอเป็นแรงบันดานใจทุกครั้ง ตั้งแต่กาก้าเข้าวงการปี 2008 เธอก็สร้างเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมาแล้ว โดยในสมัยยุคเดอะเฟม กาก้าก็ก็ภาพลักษณ์ในแบบของตนเอง จนสมัยยุคเดอะเฟมมอนสเตอร์ กาก้ามีลุคที่ประหลาดมากขึ้น การแต่งตัว สีผม การใส่รองเท้ารูปทรงประหลาด โดยเฉพาะในงาน MTV Vma 2010 กาก้าปรากฏกายในชุดเนื้อสด ที่สร้างความประหลาดใจไปทั่วโลก

,k57'ยุคบอร์นดิสเวย์ กาก้าเริ่มเปลี่ยนลุค ในแบบของเธอ โดยแฟชั่นแบบซีลีโคนโหนกที่แหลมออกมาจากใบหน้า และไหล่ ที่ดูเหมือนเอเลี่ยน (ซึ่งเธอมีจุดประสงค์ให้มองในแง่นั้นเพื่อโปรโมทเพลงบอร์นดิสเวย์) การเปลี่ยนสีผม จนยุคล่าสุด อาร์ตป็อป กาก้าเริ่มเปลี่ยนลุคไป เช่น ทำทรงผมให้ฟูเหมือนสิงโต (เธอสื่อถึงวีนัส) ใส่บีกีนี่เปลือกหอย การเปลี่ยนสีผมเป็นสีดำ

ซึ่งไม่อาจแปลกใจที่กาก้าจะมีแฟนเพลงมากอันดับหนึ่งของโลก และนิตยสารหลายฉบับยกให้กาก้าเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อโลก โดยกาก้ามีแฟนคลับจำนวนมาก เธอจึงเรียกแฟนเพลงของเธอว่า "ลิตเติ้ลมอนสเตอร์" (Little Monster) โดยแฟนคลับเธอจะเรียนตัวเธอเองว่า "Mother Monster" หรือในชื่อที่เรียกต่างๆมากมายเช่น Mama Monster, มอนสเตอร์ ตัวแม่, เจ้าแม่แฟชั่น ซึ่งมันทำให้กาก้ามี เอกลักษณ์ในวงการที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้กาก้าและแม่ของเธอยังได้จัดตั้งมูลนิธิบอร์นดิสเวย์ขึ้น เพื่อเรียกร้องสิทธิเด็กและเพศที่สาม 

5.ทาวี เกวินสัน- บล็อกเกอร์แฟชั่น สาวน้อยผู้มีอิทธิพลต่อความคิดวัยรุ่นทั่วโลก 

ทาวี เกวินสันสาวน้อยคนนี้เป็นเจ้าของบล็อก สไตล์รู้กกี้ (http://tavi-thenewgirlintown.blogspot.com) วัย 16 ที่มีแฟนๆ เข้ามาติดตามอัพเดตในเรื่องแฟชั่นต่างๆของเธอ และที่โดดเด่นสำหรับบล็อกของเธอนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องคำวิจารณ์ที่ดุเด็ดเผ็ดมัน เพราะเธอกล้าเขียนคำวิจารณ์แบรนด์ดัง ๆ แบบไม่แคร์ใคร ตรงไปตรงมาจนทำให้มืออาชีพในวงการแฟชั่นหลายๆคนต้องยอมฟังเสียงของสาวน้อยคนนี้

ทั้งนี้เธอยังได้รับเชิญให้ร่วมออกแบบสินค้าให้กับ Target ห้างค้าปลีกระดับยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และเธอยังโด่งดังถึงขั้นขึ้นปกนิตยสาร Pop ทั้งยังไปแขกรับเชิญนั่งแถวหน้าสุดร่วมกับเหล่าดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกตามงานแฟชั่นโชว์หลายแห่งทั่วโลกอย่างเวที New York Fashion Week นอกจากนี้แล้วความเห็นด้านแฟชั่นของสาวน้อยนี้ไปปรากฏในนิตยสาร Harper's Bazaar ด้วย ตั้งแต่วัยเพียง 13 ปีเท่านั้น เรียกได้ว่าสาวน้อยผู้นี้เป็นไอดอลให้วัยรุ่นหลายๆคนได้เป็นอย่างดี 

6.มาลาลา ยูซาฟไซ - เด็กหญิงวัย 16  นักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและเด็ก 

ยูซาฟไซเป็นเด็กนักเรียนจากเมืองมินโกราในเขตสวัด ประเทศปากีสถาน เธอเป็นที่รู้จักในการศึกษาและการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิสตรีของเธอในหุบเขาสวัด ซึ่งตาลีบันบางครั้งห้ามเด็กหญิงมิให้เข้าศึกษาในโรงเรียนต้นปี 2552 ขณะอายุได้ 11 ปี ยูซาฟไซกลายมาเป็นที่รู้จักผ่านบล็อกที่เธอเขียนให้แก่บีบีซีโดยรายละเอียดกล่าวถึงชีวิตของเธอภายใต้ระบอบตาลีบัน ความพยายามของตาลีบันในการเข้าควบคุมหุบเขา และมุมมองของเธอต่อการสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กหญิงฤดูร้อนปีต่อมา

นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทำสารคดีของนิวยอร์กไทมส์เกี่ยวกับชีวิตของเธอขณะที่กองทัพปากีสถานเข้าแทรกแซงในภูมิภาค ยูซาฟไซเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ให้สัมภาษณ์ในสื่อสิ่งพิมพ์และทางโทรทัศน์และรับตำแหน่งประธานสภาเด็กเขตสวัด

นับแต่นั้น เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสันติภาพเด็กระหว่างประเทศโดยเดสมอนด์ ตูตู และได้รับรางวัลสันติภาพเยาวชนแห่งชาติเป็นคนแรกของปากีสถาน และผลจากการออกมาเคลื่อนไหวของเธอ ทำให้เธอเป็นที่รู้จักจากคนทั่วโลกในฐานะผู้เคลื่อนไหวสิทธิสตรีและเด็ก ซึ่งนอกจากจะทำให้กองกำลังปากีสถานขับกลุ่มตาลีบันออกจากหุบเขาสวัด ในปี 2009 ได้แล้ว ยังทำให้ในปีนี้ มาลาลา ยูซาฟไซ รับรางวัลซาคารอฟ ด้านสิทธิมนุษยชน ปี 2013 นอกจากนี้นิตยสาร TIME ยกให้เป็นบุคคลแห่งปีอันดับสองในฐานะสัญลักษณ์นักต่อสู้ของคนทั่วโลกอีกด้วย.

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

5 สัตว์ที่มีความสามารถที่คุณคาดไม่ถึง

          สัตว์เลี้ยงยอดนิยมของคนส่วนใหญ่หากไม่ใช่แมวก็คงจะเป็นสุนัข เพราะความฉลาดปราดเปรียวและน่ารักของพวกมันทำให้หลาย ๆ คนอดหลงรักไม่ได้ อีกทั้งการเลี้ยงดูก็แสนจะง่ายดาย ทั้งที่จริงแล้วยังมีสัตว์อีกหลากหลายชนิดที่น่าเลี้ยงไม่แพ้กันดังเช่นสัตว์ 5 ชนิดที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ถึงแม้ภายนอกนั้นจะดูเฉื่อยชา เชื่องช้า ความสามารถน้อยนิด แต่อย่าดูถูกพวกมันเชียว เพราะมีความพิเศษแฝงอยู่มากมาย ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน


 

 1. ปูเสฉวน 

          ปูน้อยสุดน่ารักที่ถึงแม้จะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก และท่าทางของมันออกจะเชื่องช้าไป แถมยังดูไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่ แต่จริง ๆ แล้วพวกมันปราดเปรียวว่องไวกว่าที่คิด โดยเฉพาะในเวลาตอนกลางคืน เรียกได้ว่าเป็นเวลาที่เจ้าปูเสฉวนลัลล้ามากที่สุดเลยล่ะ อีกทั้งยังสามารถประสานเสียงขับกล่อมเป็นบทเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังช่วงฤดูร้อนได้ด้วย และยังมีความสามารถในการเอาตัวรอดได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย 




 2. ไก่ 

          คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าเลี้ยงไก่เอาไว้เพื่อรับประทานเท่านั้น และคำว่า ไก่ สำหรับชาวต่างชาติมีความหมายในเชิงลบ แต่แท้ที่จริงแล้วไก่เป็นสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่มีความว่องไวฉลาด และเป็นเพื่อนที่แสนน่ารักไม่แพ้แมวกับสุนัขเลย นอกจากนี้ยังเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ที่เจ้าของสอนได้รวดเร็วอีกด้วย 




 3. เต่า 

          สัตว์ที่ใคร ๆ ต่างคิดว่ามันเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันบางตัวมีความเร็วในการเคลื่อนตัวรวดเร็วกว่าที่คิด นอกจากนี้หากลองมองเต่าดี ๆ สักครั้งก็จะเห็นว่า ใบหน้าพวกมันแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ได้เหมือนกัน ทั้งหน้ายิ้มแบบคนมีความสุข หรือบูดบึ้งแบกำลังโกรธ 




 4. ปลา 

          ปลาที่เราจะพูดถึงไม่ใช่เหล่าปลาทองแบบที่คนทั่วไปเลี้ยงกันหรอกนะ แต่เราหมายถึงปลาปักเป้าซึ่งมาพร้อมกับความน่ารักและอีกหลากหลายความสามารถโดยเฉพาะการพองตัวเวลาป้องกันตัว กับปุ่มเล็ก ๆ ที่ตั้งตัวขึ้นกลายเป็นหนามแหลม เมื่อมีภัยเข้ามาในระยะประชิด และเมื่อรู้สึกถึงความอันตราย นอกจากนี้ยังเป็นป.ปลาตากลมที่มีหน้าตาบ๊องแบ๊วสุด แถมดูอารมณ์ดีตลอดเวลาด้วย 



 5. นกคอกคาเทล 

          นกปากขอขนาดเล็กถูกจัดอยู่ในสายพันธุ์เดียวกับนกกระตั้ว ที่มาพร้อมกับสีสันอันสดใส ซึ่งไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่นกคอกคาเทลเป็นสัตว์อีกหนึ่งชนิดทีมีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ เลยทีเดียว 

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน

เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน (อังกฤษFerdinand Magellan), ฟืร์เนา ดึ มากัลไยช์ (โปรตุเกส:Fernão de Magalhães) หรือ เฟร์นันโด เด มากายาเนส (สเปนFernando de Magallanes) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา เขาเกิดที่เมืองซาบรอซา ทางภาคเหนือของประเทศโปรตุเกส หลังจากรับราชการทหารที่อินเดียตะวันออกและโมร็อกโก มาเจลลันได้เสนอตัวทำงานให้กับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสเปนเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันตกสู่ "หมู่เกาะเครื่องเทศ" (หมู่เกาะโมลุกกะในประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) เขาจึงได้รับสัญชาติสเปนด้วย

มาเจลลันได้เดินเรือออกจากเมืองเซบียาในปี พ.ศ. 2062 การเดินทางในช่วง พ.ศ. 2062-2065 ของเขาเป็นการเดินเรือจากมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าสู่มหาสมุทรที่มาเจลลันตั้งชื่อว่า "แปซิฟิก" เป็นครั้งแรก และยังเป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรกอีกด้วย แต่ตัวมาเจลลันเองไม่ได้เป็นผู้นำการเดินเรือรอบโลกตลอดเส้นทาง เนื่องจากถูกชนพื้นเมืองฆ่าตายที่เกาะมักตันในหมู่เกาะฟิลิปปินส์เสียก่อน (อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มาเจลลันเคยเดินทางจากยุโรปไปทางตะวันออกสู่คาบสมุทรมลายูมาแล้ว จึงเป็นนักสำรวจคนแรก ๆ ที่เดินทางข้ามเส้นเมอริเดียนเกือบทุกเส้นบนโลก) จากลูกเรือ 237 คนที่ออกเดินทางไปกับเรือ 5 ลำ มีเพียง 18 คนที่สามารถเดินเรือรอบโลกได้สำเร็จและกลับไปสเปนได้ในปี พ.ศ. 2065นำโดยควน เซบัสเตียน เอลกาโน นักเดินเรือชาวบาสก์ซึ่งทำหน้าที่บัญชาการเดินเรือแทนมาเจลลัน ส่วนลูกเรือลำอื่น ๆ อีก 16 คนมาถึงสเปนในภายหลัง โดย 12 คนในจำนวนนี้ถูกโปรตุเกสคุมตัวที่หมู่เกาะเคปเวิร์ด (กาบูเวร์ดี) ระหว่าง พ.ศ. 2068-2070 และอีก 4 คนเป็นผู้รอดชีวิตจากเรือตรีนีดัดที่เดินทางไปด้วย แต่เรือแตกในหมู่เกาะโมลุกกะ

ชื่อของมาเจลลันยังถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ "เพนกวินมาเจลลัน" ซึ่งเชื่อกันว่าเขาเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบ, "เมฆมาเจลลัน" ซึ่งเขาสังเกตเห็นระหว่างการเดินเรือ ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันแล้วว่าที่จริงเมฆนี้เป็นกลุ่มดาราจักรแคระใกล้กับดาราจักรทางช้างเผือก, "ช่องแคบมาเจลลัน" เส้นทางที่มาเจลลันใช้เดินเรือเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และ "ยานมาเจลลัน" ยานสำรวจที่องค์การนาซาส่งไปสำรวจดาวศุกร์ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2534