วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตายไม่กลัว กลัวไม่สวย

ตายไม่กลัว กลัวไม่สวย!!
หญิงไทยสมัยนี้ นิยมครีมเถื่อนที่พวกพริตตี้ เน็ตไอดอลขายกันจนเกลื่อนเฟส ซื้อมาใช้จนหน้าแหก ผิวพัง ช่วงนี้เค้าออกมาเตือนกันทุกวัน แต่ก็ยังเห็นครีมพวกนี้ขายดิบขายดีพอนึกถึงต้นเหตุจริงๆ ทำไมผู้หญิงอยากขาว อยากสวย ก็เพราะอยากให้ผู้ชายสนใจ เพราะธรรมชาติผู้ชายชอบผู้หญิงขาวๆ ผิวใสๆ ผู้หญิงก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็นสเปคของผู้ชายที่นี้พวกพริตตี้ เน็ตไอดอล ศัลยกรรมมาจนหน้าอกใหญ่ ฉีดผิวมาขาวกว่ากระดาษ ก็หัวการค้า เอาครีมเถื่อนมาขายโดยใช้ตัวเองโฆษณา "อยากสวย ใส แบบฉันต้องใช้ครีมฉัน" แล้วก็หลอกขายครีมจนรวย เวลาโดนจับได้ว่าครีมเถื่อน ก็มาดิ้นแทนให้สบายตัวอีก

อะไรๆก็ไม่เป็นไร

  

อะไรๆ ก็ "ไม่เป็นไร"

            ชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย มักจะรู้จักคำซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะของคนไทยคือคำว่า ไม่เป็นไร และแปลความไปในด้านที่ว่าคนไทยเฉื่อยชา ไม่ชอบทำอะไรจริงจัง หรือแม้แต่จะทำอะไรบ้างก็ไม่ใคร่จะเป็นผลสำเร็จ จึงใช้คำว่า ไม่เป็นไร แทนคำแก้ตัว บางคนก็ว่า ไม่เป็นไร ทำให้คนขาดความกระตือรือร้นเพื่อความก้าวหน้า หรือหาช่องทางอื่นที่ดีกว่าเดิม เช่น คนที่ซื้อสลากินแบ่งรัฐบาลาไว้งวดละหลายๆ ใบ เมื่อไม่ถูกรางวัลก็ ไม่เป็นไร ซื้องวดใหม่ต่อไป แทนที่จะคิดนำเงินไปลงทุนอย่างอื่นที่อาจได้ผลกำไรเป็นการแน่นอน            
บาง คนก็ว่าคำ ไม่เป็นไร เป็นคำกล่าวที่หาความจริงมิได้ เป็นต้นว่า เพื่อนของคุณสารภาพว่า เธอได้ทำน้ำส้มหกราดกระโปรงของคุณเสียแถบหนึ่ง คุณแสนจะเป็นเดือดเป็นแค้น แต่เนื่องจากว่าถึงคุณจะวู่วามไปก็ไม่เป็นผล คุณจึงกล่าวคำ ไม่เป็นไร ทั้งที่ "เป็นไร" อย่างยิ่ง          
 อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คำว่า ไม่เป็นไร จะถูกกล่าวหาไปในทางไม่ดี ข้าพเจ้าก็ยังคงมีศรัทธาในคำนี้ และเชื่อว่ามันให้ผลทางจิตใจอยู่ไม่น้อย ไม่เฉพาะแต่ผู้กล่าวแต่รวามทั้งผู้ฟังด้วย หลายครั้งที่เรื่องใหญ่โตถูกระงับลงได้ด้วยคำว่า ไม่เป็นไร และความโกรธแค้น ความเสียดาย ความเศร้าโศก และความพลาดหวัง ค่อยผ่อนคลายลงได้อย่างประหลาดเมื่อได้ยินคำว่า ไม่เป็นไรเมื่อคุณ ขึ้นรถประจำทางในขณะที่คนแน่น คุณบังเอิญเหยียบเท้าคนหนึ่งเข้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าคุณกล่างคำ ขอโทษ แล้วใครคนนั้นบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณจะรู้สึกสบายใจขึ้นกว่าการที่ใครคนนั้นไม่พูดอะไรเลยหรือยิ่งกว่านั้นอาจจ้องมองคุณอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ            
ในการทำ งานอาชีพถ้าเพื่อนของคุณ ซึ่งเข้าทำงานพร้อมๆ กัน ในตำแหน่งอย่างเดียวกัน เกิดกระโดดสูงข้ามหน้าข้ามตาคุณไป ถ้าคุณเกิดอิจฉาริษยา บอกตัวคุณเองว่า เพื่อนคนนั้นไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน ไม่น่าเลยหน้าคุณไปเลยนะนี่ "ฉันจะต้องหาทางปัดแข้งปัดขาให้ตกเก้าอี้ลงมาให้ได้" ตลอดเวลานั้น ถ้าคุณหมกมุ่นหาวิธีต่างๆ นานาที่จะผลักเพื่อนของคุณให้ตกเก้าอี้ คุณไม่มีวันจะสบายใจ จิตใจเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าคุณก็จะกลายเป็นโรคประสาท แต่ถ้าคุณบอกตัวเองเสียแต่แรกว่า ไม่เป็นไรหรอก คนที่วิ่งไปข้างหน้านั้นมักไม่ได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย ปล่อยคนที่วิ่งเร็วให้วิ่งนำหน้าไปก่อนเถิด ในที่สุดเขาก็จะต้องนั่งลงพักอยู่ข้างทาง ให้คนข้างหลังวิ่งผ่านไปถึงที่หมายก่อน ถ้าคุณคิดได้อย่างนี้ จิตใจก็จะสงบผ่องใส สมองมีโอกาสคิดอ่านเรื่องที่ดีงาม            หลายครั้งใน ชีวิตที่คุณไม่ได้รับสิ่งที่คุณต้องการ คุณพลาดกวังจากสิ่งที่คิดว่าจะได้ คุณปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก วันหนึ่งข้างหน้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนาจะต้องถึงมือาเข้าสักวันหนึ่ง ในที่สุดคุณก็ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา คำว่าไม่เป็นไรช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของจิตใจได้เป็นอย่างดี        
ถ้าคุณอยากจะขอ ความช่วยเหลือจากเพื่อนของคุณ ถ้าเพื่อนคนั้นพูดว่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ คุณจะรู้สึกว่าเป็นคำปลอบประโลมใจได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าต่อไปความช่วยเหลือนั้นอาจจะไม่เป็นผลสำเร็จก็ตาม      
 ข้าเจ้า เชื่อเหลือเกินว่า คำว่า ไม่เป็นไร นี้แทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน ผู้ที่ไม่เคยกล่าวคำนี้ดูเหมือนจะไม่มี ผู้ที่กล่างคำนี้มากๆ ครั้ง คือผู้ที่มีจิตใจอันผ่องแผ้วและสงบสุข เป็นปรัชญาของคนไทยซื่งมีความสุภาพและชอบให้อภัยผู้อื่น

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

10 ภาษาที่ใช้มากที่สุดในโลก

10 ภาษาที่ใช้มากที่สุดในโลก

ภาษาที่ประชากรโลกใช้ พูดสื่อสารติดต่อกันมากที่สุด 10 ลำดับ มีดังนี้...

อันดับ 1 จีนแมนดาริน ..... 1.3พันล้านคน
อันดับ 2 ฮินดี.... 480 ล้านคน
อันดับ 3 สเปน.... 420 ล้านคน
อันดับ 4 อังกฤษ... 380 ล้านคน
อันดับ 5 โปรตุเกส.... 230 ล้านคน
อันดับ 6 อาหรับ...... 206 ล้านคน
อันดับ 7 เบงกาลี..... 196 ล้านคน
อันดับ 8 รัสเซีย ..... 145 ล้านคน
อันดับ 9 ญี่ปุ่น ..... 126 ล้านคน
อันดับ 10 ปัญจาบ ... 104 ล้านคน

ส่วน ไทยของเรา เป็นอันดับที่ 24 มีคนใช้ 60 ล้านคน ในประเทศไทย




ภาษาอื่นๆที่นิยมเรียนกันในไทย


ฝรั่งเศส - - - เป็นอันดับที่ 15 มี่คนใช้ 109 ล้านคน
เป็นภาษาราการของ - - - ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบริ์ก แคนนาดา โมร็อคโค
ประเทศ แถบทวีปแอฟฟริกาตะวันตก ตั้งแต่แอลจีเรีย ถึง กาบอง(ประมาณ 10 กว่าประเทศ)
และ เฟรนเกียร์น่าในอเมริกาใต้

เยอรมัน - - - เป็นอันดับที่ 11 มีคนใช้ 110 ล้านคน
เป็นภาษาราชการของ - - - เยอรมนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก สหภาพยุโรป ภาษาราชการ บางพื้นที่ของ เดนมาร์ก อิตาลี โปแลนด์ (ในอดีต นามิเบีย ถึงปี ค.ศ. 1990)

เกาหลี - - - เป็นอันดับที่ 12 มีคนใช้ 80 ล้านคน
เป็นภาษาราชการของ - - - เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้

อิตาลี - - - เป็นอันดับที่ 19 มีคนใช้ 70 ล้านคน
เป็นภาษาราชการของ - - -อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ซานมารีโน สโลวีเนีย (บางดินแดน) นครรัฐวาติกัน เทศมณฑลอิสเตรีย (โครเอเชีย)
บาลี – สันสกฤต - - - มีนคนใช้เป็นภาษาหลัก 2 แสนคน ในประเทศอินเดีย

นิสัยของคนไทย ในสายตาคนต่างชาติ

นิสัยของคนไทย ในสายตาคนต่างชาติ
จุดอ่อนของคนไทยที่เพื่อนร่วมงานคนต่างชาติเห็น
หลังจากที่ผมได้มีโอกาสเขียนคอลัมน์ชื่อ Bridging the Gap ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ในส่วนของ Business Section ซึ่งตีพิมพ์ทุกวันศุกร์มาตั้งแต่ปลายปี 2543 ซึ่งคอลัมน์มีเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมและความเป็นไทยที่มีผลกระทบในการดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นที่จะช่วยให้ความรู้กับชาวต่างชาติ เพื่อให้เขาทำงานร่วมกันกับชาวไทยได้ดียิ่งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายว่าจะช่วยลดความเครียดของชาวไทยที่ทำงานร่วมกับชาวต่างชาติเหล่านั้น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ผมได้ออกแบบสอบถามไปยังผู้อ่านคอลัมน์ Bridging the Gap ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทางอีเลคทรอนิคเมล์ (Email) โดยส่งออกไปประมาณสามสิบท่านแยกเป็นชาวไทยและต่างชาติจำนวนเท่าๆกัน มีผู้ตอบรับเป็นชาวไทยห้าท่านและชาวต่างชาติเจ็ดท่าน จำนวนของผู้ตอบแบบสอบถามแม้ว่าจะมีไม่มากนักซึ่งไม่ถือว่ามีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ก็ได้ภาพสะท้อนมุมมองในเชิงคุณภาพ ซึ่งผมเห็นว่าสอดคล้องกับสิ่งที่เคยได้รับฟังมาจากชาวต่างชาติทั่วๆไป

บทความต่อไปนี้คือบางส่วนที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับชาวไทย โดยเป็นผลคำตอบจากคำถามที่ถามว่า “ในฐานะที่ท่านเป็นชาวต่างชาติ ท่านคิดว่าพฤติกรรมหรือบุคลิกเรื่องใดบ้างที่เป็นจุดอ่อนของเพื่อนร่วมงานชาวไทยในที่ทำงาน ซึ่งท่านคิดว่าอยากให้เขาเลิกพฤติกรรมหรือเปลี่ยนบุคลิกเหล่านั้นเสีย” สิ่งที่ชาวต่างชาติคิดว่าเป็นจุดอ่อนของชาวไทยในที่ทำงานมีดังต่อไปนี้

ทัศนคติที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง
- ไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง
ชาวไทยชอบที่จะยึดติดกับวิธีการทำงานรูปแบบเดิมๆ การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานใหม่ๆมักจะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญใจและรบกวนพวกเขาเสมอ

กล้าพูด / กล้าแสดงออก / กล้าแสดงความคิดเห็น / กล้าถาม Assertiveness / Initiative
- ไม่พูดในสิ่งที่ควรพูดเมื่อเวลาทำการเจรจาต่อรอง (น่าจะหมายความว่าเกรงใจไม่กล้าเจรจาต่อรอง โดยยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้เปรียบเมื่อเจรจาต่อรองทั้งๆที่ทราบ แต่ไม่กล้าจะพูดออกมา)

ไม่สามารถจะพูดสิ่งที่ควรพูดออกมาในช่วงเวลาที่ควรพูด
- ไม่กล้าที่จะเสนอแนะความเห็นเพื่อให้ปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
- อยากให้ชาวไทยกล้าที่จะถามมากว่านี้ ถามหากสงสัย ถามหากไม่แน่ใจ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเป้าหมายของงาน

Accountability / Commitment / Ownership
- ความผูกพันรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ค่อยยอมตั้งเป้าหมายในขณะที่งานบางอย่างนั้นจะต้องทำให้ลุล่วงภายในกำหนดเวลา
- ไม่ยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร
- รอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยแก้ แทนที่จะวางแผนป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิด (ต้องให้มีการสั่งเสมอ)

คอยบอกแต่ข่าวดี
- ไม่บอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งปัญหาบานปลายไปเกินแก้ไขได้ เช่นบางครั้งเรื่องเล็กน้อยไม่แจ้งให้ผู้บริหารทราบจนถึงขั้นพนักงานเกือบจะสไตร์คไปแล้ว
- บอกในสิ่งที่คิดว่าผู้บังคับบัญชาต้องการฟัง มีแต่เรื่องดีๆ แทนที่จะบอกเล่าไปตามความเป็นจริง เช่นบอกว่า “งานนี้ผมทำเสร็จแน่นอนครับอาทิตย์หน้า″ แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับไม่เสร็จ และในความเป็นจริงไม่เคยเสร็จตามวันเวลาที่รับปากไว้เลย
- ไม่กล้าที่จะบอกว่า “มีปัญหาเกิดขึ้น”

ไม่เป็นไร Pro-active / Mai pen rai / Wait and see
- รอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยแก้ แทนที่จะวางแผนป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิด (ต้องให้มีการสั่งเสมอ)
- ทักษะในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- ไม่สุขุมรอบคอบและไม่มองการณ์ไกล

การบริหารเวลา
- คนไทยมีจุดอ่อนในเรื่องการตรงต่อเวลา และการบริหารเวล

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Tree man 🙀

Tree man มนุษย์ต้นไม้ คนนี้เป็นหนุ่มใหญ่ชาวอินโดนิเซีย ชื่อว่า Dede Koswara วัย 35 ปี ซึ่งป่วยเป็น โรคหูด ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผิวหนังเกิดเป็นสเก็ต และงอกยาวออกมาคล้ายรากไม้ ตามเนื้อตัวคล้ายเปลือกของต้นไม้ โดยจุดเริ่มต้นของ โรคประหลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อ เมื่อ Dede เขาอายุ 15 ปี เมื่อเขาเกิดอุบัติเหตุเป็นแผลที่หัวเข่า ทำให้เกิดหูดเล็กๆขึ้นที่ขาส่วนล่าง และเริ่มรุกรามจนไม่สามารถควบคุมได้
ต่อมาเรื่องของเขาเป็นที่สนใจของประชาชน จากการนำเสนอของ Telegraph.co.uk และ Discovery Channel และ Dr Anthony Gaspari จากมหาวิทยาลัย he University of Maryland ได้ถูกส่งมาที่อินโดนิเซีย เพื่อดู และหาทางรักษาเขา และ Dr.Gaspari ได้สรุปสาเหตุของโรคนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส ที่ชื่อว่า Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งคนทั่วไปจะทำให้เกิดเป็นหูดเล็ก แต่สำหรับในกรณีของ Dede นั้นเป็นกรณีไม่ธรรมดา ที่ยากจะได้พบเนื่องจากร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดหูดได้ และเชื้อไวรัส ได้บุกยึด cellular machinery ภายในเซลผิวหนังของเขา ทำให้ผิวเกิดเป็นหูด ขึ้นทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งเรียกว่าโรค cutaneous horns



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มาทำมาการองกันเถอะ ^^

 
-เรามาทำขนมมาการองกันเถอะนะ (:
 
วิธีทำ


1. เอาอัลมอนต์กับน้ำตาลไอซิ่งบดรวมกัน


2. กรองด้วยกระชอนเพื่อจะได้เนื้อเนียนสวย พักไว้


3. ตีไข่ขาวค่อยๆไล่สปีดจนสปีดสูงสุดทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปตีจนตั้งยอดอ่อนแล้วใส่สีตีต่อจนเกือบแข็งจะเห็นเป็นมันเงาวาว (ถ้าตีจนแข็งเกินจะได้มาการองที่แห้งไม่อร่อย)


4. เอาส่วนของอัลมอนต์ที่พักไว้มาผสมในส่วนไข่ขาว


5. ตะล่อมให้เข้ากัน สำคัญมากๆถ้าตะล่อมมากไปส่วนผสมเหลว ใช้ไม่ได้ขาไม่งอก แถมมีฟองอากาศใหญ่แทรกตัวอีก ถ้าน้อยไปอาจจะยังมีฟองอากาศหลงเหลืออยู่เวลาอบจะมี air pockets


6. พักผิวให้แห้ง ทดสอบดูใช้นิ้วแตะขอบๆขนมและผิวด้านบนของขนม
การพักผิวทำให้โครงสร้างผิวของมาการองแข็งแรง อบแล้วไม่แตก มีขางอกสูง


7. อบที่ 150c ไฟ บนล่าง แบบมีพัดลมกระจายความร้อน (ใครที่มีเตาอบแบบไม่มีพัดลมให้เพิ่มอุณหภูมิเป็น 170c ค่ะ) อบนาน 12-14 นาทีขึ้นอยู่กับขนาดของมาการอง
 
เตาอบของเราอบได้ดีที่อุณหภูมิ 325 F หรือ 160 C ใช้เวลา 14 นาทีเป๊ะเลยค่ะ

*** เราพบว่าหากบดอัลม่อนด์เอง ใช้ Almond Slivers หรืออัลม่อนด์สไลซ์ จะดีกว่าอัลม่อนด์ ที่มาในรูปเต็มเม็ด ค่ะ ... ความชื้นมีน้อยกว่าแบบเต็มเม็ดมาก 



วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ฮือฮา! โลกค้นพบซากแมมมอธสภาพสมบูรณ์

  สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา ค้นพบซากช้างแมมมอธ ช้างดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วหลายหมื่นปี บริเวณแถบทุรกันดารของไซบีเรีย โดยซากช้างแมมมอธที่พบ ยังคงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เนื่องจากซากฝังอยู่ในน้ำแข็งและสภาพอากาศที่หนาวจัด
  ศ.แดเนียล ฟิชเชอร์ ศาสตราจารย์ ประจำคณะวิทยาศาสตร์โลกและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกน เปิดเผยว่า ซากช้างแมมมอธดังกล่าว ถูกค้นพบโดยชาวท้องถิ่นในไซบีเรีย ก่อนจะถูกส่งมาให้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาค้นคว้าต่อ โดยซากช้างแมมมอธตัวดังกล่าว มีอายุประมาณ 2-3 ปี คาดว่าเสียชีวิตจากการล่าของมนุษย์ยุคน้ำแข็ง หรือถูกสิงโตหิมะทำร้าย เนื่องจากมีร่องรอยการถูกทำร้ายโจมตี
  นอกจากนี้ซากช้างแมมมอธที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ ยังคงสภาพขนสีน้ำตาลบลอนด์สตอเบอร์รีที่ปกคลุมร่าง ซึ่งมีการตั้งชื่อไว้ว่า "ยูกะ" ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ได้เผยแพร่ให้คนทั่วโลกได้ชม ผ่านรายการสารคดีทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี นับเป็นการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ของโลก และในอนาคตอาจนำพาไปสู่้การชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ให้กับ ช้างแมมมอธ